ถ้าอยากมี แล้วคุณออกแบบชีวิตในอนาคตของคุณแบบไหน???
คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เราทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิตกันทั้งสิ้น เมื่อพูดถึงการมีความสุขในชีวิตมันก็ดูกว้างไป มีคำจำกัดความเกี่ยวกับความอยู่สุขมากมาย แต่ความสุขของคนส่วนใหญ่นั้นมักมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ 3 สิ่งก็คือ เงิน เวลา และสุขภาพ
คุณเห็นด้วยหรือไม่??? ว่าหากเรามีทั้งสามสิ่งนี้แบบ 100% คือ มีอิสรภาพทางการเงิน จะใช้จ่ายอะไรก็ได้ อิสรภาพทางเวลา อยากไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ก้ได้ และมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคภัย แล้วจะสามารถทำให้เรามีความสุขแบบ 100% ได้
Happy Life Project คือการออกแบบชีวิตของคุณในอนาคตให้มีความสุขแบบ 100%
กราฟชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ มักจะแบ่งช่วงชีวิตออกเป็น 4 ช่วง ตามรูปนี้ คุณเห็นด้วยมั้ย?

ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 20 ปีเป็นช่วงของการ "พึ่งพา" โดยเราพึ่งพาพ่อแม่ บุพการี ให้การศึกษา ส่งเสียเลี้งดูเราจนโต เมื่อเราอายุประมาณ 20 ปีก็เป็นช่วงของการ "พากเพียร" เราจะมีอาชีพเป็นของตนเอง ต้องออกไปพากเพียรทำงานเก็บเงินเพื่ออนาคตของตนเอง และครอบครัว พออายุประมาณ 40 ปี เราจึงเอาประสบการณ์ที่สะสมมา "เพิ่มพูน" รายได้ด้วยการลงทุน หรือทำกิจการของตัวเอง จนอายุ 60 เราจึงจะได้ "พักผ่อน"กัน ซึ่งการทำงานแบบนี้ต้องใช้เวลามากประมาณ 20 - 30 ปีจึงจะสามารถพักผ่อนได้
คุณกำลังคิดใช่มั้ยว่า หลังอายุ 60 ปี คุณจะได้พักผ่อน ได้ใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ
แต่... ทำไมยัังมีบางคนที่ หลังจากอายุ 60 ปีไปแล้วไม่ได้พักผ่อน เกิดการพลาดพลั้ง หลังจากทำงานมาได้สักระยะหนึ่งใช่หรือไม่
ชีวิตคุณจะเป็นแบบในกราฟชีวิตด้านล่างนี้หรือเปล่า?

การพลาดพลั้งยกตัวอย่างเช่น "เป็นหนี้" มารู้ตัวอีกทีตอนเกือบจะอายุ 60 ปี อยากพักผ่อนก็พักผ่อนไม่ได้ เพราะหนี้ยังเยอะอยู่เลย หรือบางคนก็ลงทุนทำธุรกิจ โดยหวังให้ธุรกิจนั้นเลี้ยงครอบครัว แต่หากเกิดการพลาดพลั้งขึ้น "ธุรกิจเจ๊ง!" ก็ไม่สามารถพักผ่อนได้เช่นกัน
ถ้าชีวิตคุณดำเนินได้อย่างไม่มีพลาดพลั้ง เป็นแบบกราฟชีวิตอันแรก ที่พอถึงวัย 60 ปี คุณได้พักผ่อน คุณจะต้องเวลาในการทำงานนานถึง 20-30 ปี แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้า Happy Life Project จะช่วยคุณให้สามารถย่นย่อระยะเวลาในการประสบความสำเร็จ โดยการพากเพียรแค่ 2 - 3 ปี แล้วคุณจะสามารถพักผ่อนได้ โดยที่มีอิสรภาพทางการเงิน อิสรภาพทางเวลา และสุขภาพที่ดีด้วย
Happy life Project เริ่มต้นด้วยสมการง่ายๆ

X คือ การแทนค่า, Y คือ ผลลัพธ์
การแทนค่าในชีวิตเรา คือ การมีอาชีพ, ผลลัพธ์ คือ การมีรายได้
และรายได้เป็นตัวกำหนดคุณภาพชีวิตของเรา
หมายความว่า ถ้าเรามีรายได้ต่ำ คุณภาพชีวิตเราก็ต่ำ
แต่ถ้าเรามีรายได้สูง เราก็มีโอกาส ที่จะมีคุณภาพที่ชีวิตที่สูงกว่า
ทำไมถึงบอกว่ามี โอกาส เพราะการมีรายได้สูงไม่ได้ทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีเสมอไป ถ้าเรามีเงินมาก แต่ไม่มีเวลา หรือเรามีเงินมีเวลาแต่เราสุขภาพไม่ดี เราก็ไม่มีความสุข
เพราะฉะนั้นทั้ง 3 สิ่งนี้ต้องมาพร้อมกัน(เงิน เวลา และสุขภาพ)จึงจะทำให้เรามีความสุขแบบ 100%
คำถามคือ???
สมมติว่า ถ้ามีงานให้คุณเลือกแค่สองงานคือ
เป็น เสมียน เงินเดือน 8,000 บาท เป็นสจ๊วจ/แอร์ เงินเดือน 80,000 บาท ถ้าคุณเลือกได้คุณจะเป็นอะไร?
คำตอบ...(สจ๊วจ/แอร์)
คำถามที่สอง
ถ้าเป็น สจ๊วจ/แอร์ เงินเดือน 8,000 บาท เป็นเสมียน เงินเดือน 80,000 บาท ถ้าคุณเลือกได้คุณจะเป็นอะไร?
คำตอบ...(เสมียน)
ทำไม 2 คำตอบถึงต่างกัน คุณเลือกตอบโดยดูจาก เงินเดือนใช่หรือไม่ ซึ่งเงินเดือนก็คือ ผลลัพธ์ หมายความว่าวันนี้เราไม่ได้สนใจหรอกว่า เราจะต้องแทนค่าอะไร ยากหรือง่ายแค่ไหน แต่ว่าเราเลือกจาก "ผลลัพธ์" ก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ
แล้วถ้าเรามีโปรเจคที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า
ภายใน 3 - 6 เดือน คุณสามารถมีรายได้ 1 แสนบาท/เดือน
ภายใน 2 - 3 ปี คุณสามารถมีรายได้ 1 ล้านบาท/เดือน
และ 3 - 5 ปี คุณสามารถ เกษียณ หรือหยุดทำงานได้โดยที่รายได้ไม่หยุด
คุณสนใจมั้ย???
"เงินสี่ด้าน" เรื่องสำคัญที่ต้องรู้
บางคนอาจเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับ "เงินสี่ด้าน" ของ Robert Kiyosaki
คำถามคือ??? คุณรู้? แล้วเข้าใจมันจริงๆหรือเปล่า เข้าใจ? แล้วสามารถถ่ายทอด หรือนำหลักการนั้นมาใช้ได้หรือไม่
ลองมาทบทวนเรื่องนี้กันอีกซักครั้งนะครับ และสำหรับคนที่ยังไม่รู้ หรือเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกก็ลองมาศึกษาไปพร้อมๆกันเลยครับ
นี่คือรูปของเงินสี่ด้าน

เงินสี่ด้านแบ่งออกเป็นซีกซ้าย คือ Active income และซึกขาวคือ Passive income
Active income เรียกง่ายๆก็คือรายได้ที่ต้องออกแรงทำงาน เพื่อแลกเงิน หยุดทำงาน รายได้ก็หยุด ได้แก่
E - Employee (ลูกจ้าง)
S - Self employed/Small business (กิจการส่วนตัว/เจ้าของกิจการขนาดเล็ก)
ส่วน Passive income คือ รายได้ที่เกิดจากการมีระบบ ธุรกิจ การลงทุน หรือทรัพย์สินที่ก็ให้เกิดรายได้ โดยที่ไม่ต้องออกแรงทำงาน ได้แก่กลุ่ม
B - Business owner(เจ้าของธุรกิจ)
I - Investor (นักลงทุน)
รายได้ของคุณมาจากด้านไหนก็แสดงว่าคุณอยู่ในกลุ่มนั้น
ถ้าคุณเป็นลูกจ้าง ได้รับเงินเดือนจากการทำงานโดยไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ คุณก็อยู่กลุ่ม E ถ้ารายได้มาจากค่านายหน้า การคิดค่าจ้างเป็นชั่วโมงเช่น หมอ, ทนาย หรือ คุณเปิดกิจการขนาดเล็ก เช่น ร้านอาหาร กิจการในครอบครัว ชอบทำงานด้วยตัวเอง คุณก็อยู่กลุ่ม S ถ้ารายได้ของคุณมาจากการทำธุรกิจ โดยที่คุณไม่ต้องทำงานเอง คุณก็จะอยู่ในกลุ่ม B และถ้ารายได้ของคุณมาจากการลงทุนคุณก็อยู่กลุ่ม I ซึ่งบางคนอาจจะมีรายได้มาจากหลายด้านพร้อมๆกันก็ได้
(สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ เงินสี่ด้าน ของ Robert Kiyosaki)
**ความแตกต่างระหว่างกลุ่ม S กับ B ไม่ได้อยู่ที่ขนาดของธุรกิจ แต่ต่างกันที่ถ้าคุณเอาตัวออกจากธุรกิจแล้วมันไม่สามารถไปต่อได้ คุณคือกลุ่ม S แต่หากคุณสามารถทิ้งกิจการเป็นปีๆ แล้วกิจการของคุณยังมีกำไร และสามารถดำเนินต่อไปได้ เพราะมีระบบทำงานแทน คุณก็อยู่ในกลุ่ม B นั่นเอง
เมื่อเรารู้แล้วว่าด้านซ้ายไม่ตอบโจทย์ในเรื่องของการมีความสุขแบบ 100% เราจึงจำเป็นต้องย้ายจากด้านซ้ายมาอยู่ด้านขวาของเงินสี่ด้าน แต่การย้ายฝั่งนั้นทำได้ไม่ง่ายเลย โดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องใช้เวลา 20 - 30 ปี และต้องมีปัจจัยต่างๆอีกหลายอย่าง เช่น
ทุน
ความรู้
ประสบการณ์
ความเสี่ยง
พรรคพวก
ฯลฯ
แต่ Happy Life Project นี้สามารถยนย่อระยะเวลาให้เหลือแค่ 2 - 3 ปี โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีปัจจัยเหล่านั้นมาก่อน เราสามารถเข้ามาเรียนรู้ และลงมือทำไปพร้อมๆกันเพื่อให้ถึงเป้าหมายของเราคือการมีความสุขแบบ 100%
ถึงตรงนี้ คุณคิดว่าโปรเจคเราดูน่าสนใจดีมั้ย?
Happy life project ใช้หลักของการผ่อนแรง (Leverage)
.gif)
ผมยินดีรับผลตอบแทน 1% จากการทำงานของคน 100 คนจาก คำกล่าวนี้หมายความว่า ถ้าเราทำงานเพียงคนเดียว เราหยุดทำเมื่อไหร่ ผลตอบแทนก็จะเท่ากับศูนย์ แต่หากเราเลือกรับผลตอบแทน 1% จากการทำงานของคน 100 คน ถ้ามีคนหยุดทำงานไปซัก 20 คน เราก็ยังได้รับผลตอบแทนอยู่ 80%
มากกว่าได้รับผลตอบแทน 100% จากการทำงานของผมเพียงคนเดียว
J Paul Getty มหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของโลก(ค.ศ.1892-1976)
การทำงานหนักไม่ใช่คำตอบของความสำเร็จ แต่เคล็ดลับของความสำเร็จอยู่ที่ ทำถูกที่? ถูกเวลา? และถูกทีม?
Happy life Project ทำงาน โดยมี สี่หุ้นส่วน ที่สำคัญ คือ

การแทนค่ากับ Happy Life Project เป็นการทำงานร่วมกันแบบสี่หุ้นส่วน โดยหากเปรียบเทียบกับโมเดลธุรกิจทั่วไปแล้ว กว่า 90% ของธุรกิจนี้มี Unicity ได้จัดเตรียมไว้ให้หมดแล้ว และ Unipower คือ know how หรือรูปแบบการทำงานในธุรกิจเครือข่าย ที่ได้รับการพิสูจน์จากผู้นำในองค์กรที่มีประสบการณ์และประสบคามสำเร็จ กลั่นกรองเป็นระบบที่เรียบง่าย ปฏิบัติได้จริง ได้ผล และสามารถลอกเลียนแบบได้ เพื่อลดการใช้ศักยภาพในการทำงาน ช่วยให้ผู้ที่มีศักยภาพไม่เท่ากัน สามารถสำเร็จได้เหมือนๆกัน จากการใช้ระบบแบบ 100% ทำงานร่วมกับ Team แต่หากขาดหุ้นส่วนสุดท้ายคือ ตัวเรา เข้ามาแทนค่าในโปรเจคนี้ ผลลัพธ์ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และสิ่งที่เราต้องทำก็คือ "ตัดสินใจ" เลือกและเิริ่มต้นแทนค่าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เท่านั้นเอง
ผลลัพธ์จากระบบ และวิสัยทัศน์ของผู้นำเป็นบทพิสูจน์ที่ดีของธุรกิจนี้...
คุณ ชวิช กิม, Tripple Diamond, Chairman's Club และ ผู้อานวยการสูงสุดของระบบ Unipower
คุณ รสา คำแบน, Tripple Diamond, Chairman's Club